วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีแยกแยะบริษัทที่คุณภาพเยี่ยม ออกจากบริษัทที่ยอดแย่


วิธีแยกแยะบริษัทที่คุณภาพเยี่ยม ออกจากบริษัทที่ยอดแย่

‎1.สินค้ามีลักษณะผูกขาด consumer monopoly มีแบรนเนม แข็งแกร่ง เป็นผู้นำตลาด สามารถปรับราคาขึ้นได้ตามเงินเฟ้อ ซึ่งจะสะท้อนไปยังงบการเงินที่รายได้จากการขายหรือบริการจะมีแนวโน้มเติบโต ไม่ผันผวน
ดูที่ sale หรือ revenue บรรทัดบนสุดของงบกำไรขาดทุน ดูย้อนกลับไปหลายๆปี ดูสิว่า เป็นอย่างไร ผันผวนมากน้อยเพียงใด อาจดูเทียบกับบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน และใช้มุมมอง หรือจินตนาการ หรือเหตุผลมองต่อไปว่า
ใน1-3ปีข้างหน้า เป็นอย่างไร มีแนวโน้มเติบโตหรือไม่ เท่าไหร่(แล้วแต่ว่าใครลงทุนยาวแค่ไหน) ดูเหตุผลว่าทำไมยอดขายจะโตได้ระดับนั้น
ยกตัวอย่าง เช่น ผมมองว่าบริษัทร้านขายหนังสือแห่งหนึ่งจะโตได้ประมาณ10เปอรเซ็นต์ในอีก1ปีข้างหน้า เหตุผลของผมคือก็มันขยายสาขาได้ประมาณ10เปอรเซนต์ ซึ่งส่วนหนึ่งที่มันน่าจะได้เพราะ พวกห้างต่างๆเช่น makro lotus big c cpn มันขยายกันประมาณนี้
ร้านขายหนังสือนี้ ไม่ stand alone มันจะเปิดเฉพาะในห้อง เท่านั้น

2.กำไร แข็งแกร่ง มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เป็นต่อเนื่องจากข้อหนึ่ง(รายได้โต) คือเนื่องจากรายได้โต กำไรก็ควรจะโต แข็งแกร่ง ด้วยเช่นกัน
กำไรนี่ แล้วแต่จะใช้ครับ บ้างก็ดูบรรทัดสุดท้ายของงบกำไรขาดทุน บ้างก็ใช้กำไรก่อนหักภาษี แต่จะใช้ตัวใดก็แล้วแต่ หัวใจสำคัญคือไม่ผันผวน มีความแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มเติบโต
ความไม่ผันผวน ความแข็งแกร่ง ความสม่ำเสมอ และมีแนวโน้มเติบโตได้ มีความสำคัญ เพราะจะทำให้นักลงทุนประมาณการได้ใกล้เคียงและถูกต้องมากขึ้น

‎3.ROE >15% เมื่อมีกำไรสม่ำเสมอแข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโตแล้ว ก็มาดูสิว่า กำไรดังกล่าว คิดเป็นกี่เปอรเซ็นต์ของส่วนของผู้ถือหุ้น เราต้องการมากกว่า15%
ทำไมต้องมากกว่า15 % ก็เพราะมหัศจรรย์ผลตอบแทนทบต้นนะแหระ roe ยิ่งสูงก็ยิ่งดี ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องสม่ำเสมอ
จะว่าไปแล้ว ผลสืบเนื่องจากข้อ1 และข้อ2 หากรายได้แนวโน้มเติบโต กำไรแนวโน้มเติบโต roe ก็ควรจะแนวโน้มเติบโต จริงไหม หากเป็นไปในทางตรงกันข้าม ต้องระวัง......

4.ROIC >15% ยิ่งสูงยิ่งดี ตัวนี้ใช้วัดฝีมือของผู้บริหารว่านำกำไรสะสมของบริษัทไปใช้ให้มีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นได้มีประสิทธิภาพเพียงใด 
คือเมื่อบริษัทมีกำไร สิ่งที่ผู้บริหารต้องตัดสินใจคือจะนำเอากำไรไปทำอะไรบ้าง เช่นปันผลให้ผู้ถือหุ้น ,ไปลงทุนขยายกิจการ หรือไปซื้อกิจการอื่น หรือซื้อหุ้นคืน
 Roic แตกต่างจาก roe ตรงที่ว่าใช้วัดผลตอบแทนเป็นโครงการย่อยๆได้ หากเป็น roe จะใช้วัดผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นทั้งก้อน
สมมติ บริษัท มีroe>15% อยู่แล้ว และยังมีโอกาสขยายธุรกิจเดิมได้ ก็ลงทุนขยายธุรกิจต่อ แต่หากมันตื้อๆ อยากลงทุนเพิ่มในส่วนธุรกิจอื่นๆที่อาจไม่เกี่ยวเนื่องกัน หรือไปซื้อธุรกิจอื่น ผลตอบแทนในส่วนโครงการใหม่( ROIC)ก็ควรน้อยกว่า15% ยิ่งมากก็ยิ่งดี แต่หากผู้บริหารไม่มีไอเดียใหม่ๆ ทางที่ดีก็ควรจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น
  หากราคาหุ้นของบริษัทตกต่ำกว่าพื้นฐานควรจะเป็น การซื้อหุ้นคืนก็เป็นแนวความคิดที่ดี เพราะจำนวนหุ้นที่ลดลงจะทำให้ eps สูงขึ้น ในที่สุดราคาของหุ้นก็จะขึ้นมา และยังแสดงให้เห็นว่าผู้บริหารยังมั่นใจในตัวธุรกิจ
Roic หาดูได้ ในmorning star หรือ หาดูง่ายๆคร่าวก็ ก็ดูที่ roe นั้นแหละ โดยใช้สมมติฐานว่า กิจการที่ลงทุนใหม่ หรือซื้อใหม่ ไม่ควรฉุด roe ลงต่ำกว่า15% หาก roe ยิ่งสูงขึ้นนี่แหล่มเลย....

5.Maintenance ต่ำ ยิ่งต่ำเท่าไหร่ยิงดี
ค่า maintenance หมายถึงค่าใช้จ่ายหรืองบลงทุนเพื่อรักษาสถานการณ์ดำเนินงานของบริษัท หากบริษัทใดก็ตามมีค่าใช้จ่ายลงทุนส่วนนี้ต่ำเมื่อเทียบกับกำไรที่บริษัททำได้ ยิ่งต่ำเท่าไรยิ่งดี
ยกตัวอย่างเช่น
บริษัท A ดูจากงบกำไร ขาดทุน 5ปีย้อนหลัง สามารถทำกำไรสุทธิรวมกันได้10ล้านบาท แต่ในขณะเดียวกันดูจากงบกระแสเงินสดและหมายเหตุประกอบงบการเงินแล้วก็ต้องใช้จ่ายเพื่อลงทุนย้อนหลังรวมกัน10ล้านบาทเช่นเดียวกัน เท่ากับความมั่งคั่ง5ปีผ่านมาเป็นศูนย์
บริษัท B ดูจากงบกำไร ขาดทุน 5ปีย้อนหลัง สามารถทำกำไรสุทธิรวมกันได้10ล้านบาท  ในขณะเดียวกันดูจากงบกระแสเงินสดในส่วนกิจกรรมการลงทุนและหมายเหตุประกอบงบการเงินแล้วใช้จ่ายเพื่อลงทุนย้อนหลังรวมกันเพียง 5 ล้านบาท เท่ากับความมั่งคั่ง5ปีผ่านมา บริษัท B สามารถสร้างความมั่งคั่งให้ผู้ถือหุ้นได้สุทธิ5ล้านบาท
แล้วอย่างอื่นเหมือนกันหมด แล้วคุณจะเลือกเป็นเจ้าของบริษัทใด  ตอบแบบไม่ต้องคิด ก็บริษัท B นะสิ....

6.โครงสร้างทางการเงินมั่นคง ดูจาก กระแสเงินสดดี หนี้น้อย
จากเกณฑ์ ข้อ1-5 หากสิ่งที่ธุรกิจทำผ่านมามันดีจริงในที่สุด งอยู่มานานยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยโดยเฉพาะการเงิน กระเงินสดดี และในที่สุดหนี้จะน้อย โดยเฉพาะหนี้ที่เป็นหนี้ระยะยาว ซึ่งต้องจ่ายดอกเบี้ย หนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ยิ่งน้อยยิ่งดี ไม่มีเลยยิ่งดี
   ในยามที่ทุกอย่างดูดีไปหมด การมีหนี้อาจไม่เสียหายอะไร แต่ยามที่เศรษฐกิจ ไม่ดี หรือเป็นขาลง อะไรๆก็แย่ไปหมด และช่วงนั้นแหละ หนี้จะเป็นพิษ
หากหุ้นใดเข้าเกณฑ์ทั้งหกข้อ ผมก็จะจับตามองและติดตาม หากเมื่อใดก็ตามที่ราคาของหุ้นลดราคาให้ หรือยามที่ตลาดตกต่ำ คนตื่นตระหนกเทขาย มันก็เป็นโอกาสของผมที่จะเข้าซื้อ
ส่วนกำหนดจุดซื้อ ก็คิดแบบทำธุรกิจคือ ธุรกิจที่เรากล่าวไว้ว่าจะดีมันต้องให้ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ( ROE)>15% ขึ้นไป
ดังนี้ซื้อหุ้นเราก็หวังผลตอบแทน15% ขึ้นไปเช่นกัน นั่นคือการใช้ e/p >15%หรือp/e<7เท่า นั่นเอง
หรือใช้ fcf/p >15% หรือ p/fcf<7เท่า นั่นเอง



บทเรียนสู่ความมั่งคั่ง
ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนแห่งความมั่งคั่ง
1)บัญญัติ10ประการของคนแสวงหาความมั่งคั่ง
2)คู่มือสร้างความมั่งคั่ง
3)กฎ5ข้อของทองคำและเงิน
4)โปรแกรมจิต พิชิตความมั่งคั่ง   (
ได้รับรางวัล the story of the week)*****
5)วงจรของความมั่งคั่ง
6)คาถาหัวใจเศรษฐี
7)กฎของการแทนที่
8)ออมก่อน มั่งคั่งเร็วกว่า
9)นิยามใหม่ทางการเงิน
10)หนี้เป็นพิษ
11)เคล็ด(ไม่ลับ) 7ขั้นตอนการปลดหนี้
12)ทำไมคนทั่วไปเป็นเศรษฐีเงินล้านไม่ได้
13)ใครๆก็เป็นเศรษฐีเงินล้านได้
14)โรบอดความรวย(รางวัล popular of the week)  *****
15)เป้าหมายชีวิต ภารกิจครอบครัว
16)รวยด้วยรัก(รางวัลชมเชย story of the month ก.พ.2556) *****
17)คลิป เปลี่ยนชีวิต
18)ปฏิบัติการปลดหนี้ สู่วิถีพอเพียง(ได้รับรางวัล story of the month ประจำเดือน มีนาคม2556)
****

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น